คลิกเพิ่มความสนุกในการฟังเม้าซี่ ปากดี เรดิโอ

คลิกเพิ่มความสนุกในการฟังเม้าซี่ ปากดี เรดิโอ
www.mouzeeradio.com

เม้าซี่ เม้าท์ซ่า ประสาไผ่แก้ว ตอน 2


ฤา คือ รัก

                      งานชิ้นแรกผ่านไปแล้ว  งานชิ้นที่สอง ก็เข้าสู่กระบวนการเดิม  คิดว่าจะเอาเพลงอะไรดีนะ  ตัวเลือกเยอะเลย คราวนี้
แต่ใครจะเชื่อ ว่าเพลงที่จะนำมาเขียนถึงในครั้งนี้   จะเป็นเพลงที่ไม่เคยเป็นคำตอบ ของคำถามที่ว่า  เพลงอะไรที่ชอบ ..หรือจะเป็นเพราะว่า ชื่อของเพลงอื่นแซงเข้าไปในสมองก่อนแล้ว

                     สาเหตุที่ คืนนี้ จึงต้องมาฟังเพลงนี้  หาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงนี้ และ ดื่มด่ำอยู่กับเพลงนี้   ก็คงเป็นเพราะ  เพื่อนรุ่นพี่ท่านนึง กำลังมีอาการที่คาดเดาได้ว่า กำลังแบ่งปันนิยามแห่ง “รัก” กับเพื่อนรุ่นพี่อีกท่านนึง (สรุปคือ ข้าพเจ้ายุ่งเรื่องคนอื่นนั่นเอง)
.....................
                ตลอดระยะเวลา หนึ่งชีวิตของแต่ละคน ย่อมเจอคำว่า “รัก” กันทั้งนั้น หลายคน มีรักเดียวตลอดชีพ หลายคนรักตลอดชีพแบบไม่เคยหยุดกับใครสักคน   หลายคนไม่เคยแตะสัมผัสคำว่า “รัก”  และหลายๆๆๆคน กำลังออกตามหาคำนิยามของ “รัก”

              เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์ทั้งหลาย ที่พากันมาให้นิยามกับคำว่า “รัก”   เหล่าศิลปินต่าง ตีความคำว่า”รัก”ผ่านงานศิลปะแขนงของตน  มีหลายคนถึงขนาดแยกวิเคราะห์กันเป็นตัวอักษรเลยทีเดียว  แสดงว่าคำว่า  ”รัก”  มันช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร  

                        รักของใคร ก็รักของคนนั้น หลายคนต่างพยายามหานิยามกลางของคำว่า “รัก” แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคงต้องหากันอยู่เรื่อยๆไป  หรือแท้จริง “รัก” ไม่ได้ต้องการนิยามใดๆ  มีคนตอบแบบกำปั้นทุบดิน แต่ครบถ้วนที่สุดว่า  รัก ก็คือ รัก ( เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรจากการให้นิยามแบบนี้เลย)

                เมื่อ “รัก” คือความรู้สึกอันเป็นนามธรรม  แต่เราพยายามที่จะทำให้ “รัก” กลายเป็นรูปธรรม มันก็คงจะยากอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด  เพราะนามธรรมอันเป็นความรู้สึกนั้น มันช่างละเมียด เกินกว่าตัวอักษรใดจะมาบรรยายได้ครบถ้วน   รวมทั้งความละเมียดนี้ ต่างเกิดขึ้นต่างวาระ ต่างบุคคล ต่างสถานการณ์ ยิ่งทำให้การนิยามคำว่ารักนั้น ยิ่งยาก และยากยิ่ง

            “รัก” มีหลายชนิด หลายขนาด หลายลักษณะ  แต่”รัก” ที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้  จะขอยกเอา “รัก”  ในแบบฉบับของเพลงนี้

                                                  http://www.youtube.com/watch?v=2GmVajkqLNU

  
Love is real, real is love
Love is feeling, feeling love
Love is wanting to be loved 

Love is touch, touch is love
Love is reaching, reaching love
Love is asking to be loved 

Love is you
You and me
Love is knowing
We can be 

Love is free, free is love
Love is living, living love
Love is needing to be loved 

(อันนี้ลอกมาแล้วก็เติมนิดหน่อย เพราะเขียนอะไร ยาวๆสวยๆไม่เป็น ...
 จริงๆแทบไม่ต้องแปล ทุกคนก็เข้าใจอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวจะผิดคอนเซป )

รักนั้น คือความจริง  ความจริงคือความรัก
รักนั้น คือความรู้สึก  ความรู้สึกรัก
รักนั้น คือความปรารถนา   ปรารถนาที่จะถูกรัก

รักนั้น คือสัมผัส สัมผัสนั้นคือรัก
รักนั้น คือการไขว่คว้า ไขว่คว้าหารัก
รักนั้น คือการร้องขอ   ร้องขอเพื่อให้ถูกรัก



รักนั้น คือเธอ
เธอกับฉัน
รักนั้น คือการที่ได้รู้
ว่าเรา จะคู่กัน

รักนั้น มีอิสระ   ความอิสระเสรีนั้นก็คือรัก
รักนั้น คือการใช้ชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยรัก
รักนั้น คือความต้องการ ต้องการที่จะถูกรัก
…………………….
             เพลง ”รัก” เพลงนี้ แต่งโดยคนร้อง และคนที่ร้องเป็นคนแต่ง  (มุขเดิม) John Lennon หนึ่งใน4จตุรเทพเต่าทอง (สมญานามนี้กรุณาอย่าเลียนแบบ เพราะมันบัดสีสิ้นดี)  เพลงนี้ออกสู่โสตประสาทของประชาชนในปี 1970 ในอัลบั้มที่ชื่อว่า John Lennon/Plastic Ono Band

             แน่นอนอยู่แล้ว ว่าหลังจากนั้น ก็จะมีการนำไปทำซ้ำหลายต่อหลายครั้ง   ซึ่งในคราวนี้  จะไม่พูดถึงประเด็นนี้ อันเนื่องจากว่า จะทำให้อรรถรสของความรักเสียไป  (จริงๆ สันหลังยาวกับการพิมพ์ดีดมากกว่า)

             แรกเริ่มเดิมที เพลง Love  เกิดจากการที่ John พยายามที่จะนิยามความหมายของคำว่า “รัก” เขาแต่งโดยใช้กีตาร์ และบันทึกเพลงที่เขาแต่งไว้กับเครื่องอัดเสียงแบบเทป ที่ Primary Therapy Institute  ราวๆเดือนกรกฎาคม ปี 1970  หลังจากนั้น 3 เดือน ก็เข้าห้องอัด เพื่อเร่งทำ LP  Plastic Ono Band  ซึ่งเพลง Love นี้ ได้รับการตกแต่งใหม่ เรียบเรียงใหม่โดยการใช้เปียโนเข้ามาเป็นเครื่องดนตรีพื้นหลัก คู่กับกีตาร์   แทนที่เดิมจะใช้เฉพาะกีตาร์

              การบันทึกเสียง  มี Phil Spector  เป็นมือเปียโน และแน่นอน  Yoko Ono นั่งอยู่ในห้องควบคุมเสียงด้วย  ในขณะที่ John เล่นกีตาร์และร้องไปด้วย ในห้องบันทึกเสียง ซึ่งไม่เหมือนกับการบันทึกเสียงที่นิยม นั่นคือจะบันทึกเสียงเครื่องดนตรีไว้ก่อน แล้วจึงมาบันทึกเสียงร้องภายหลัง   ทั้งนี้เพราะ John ต้องการให้ได้ความสดของเพลง

              แต่ก็ต้องแลกกับการเล่นถึง  25  เทค  กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นเพลงที่ผู้คนทั่วไปได้ฟังกัน  เราฟังเพลงนี้เหมือนทุกอย่างง่ายไปหมด ดูเหมือนธรรมดา ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก  นักดนตรีมืออาชีพไม่น่าจะต้องเล่นกันขนาดนั้น  อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ขอบคุณข้อมูลจาก Patric Cadogan  ที่ได้เขียนบทความเอาไว้ และข้าพเจ้าได้ไปค้นเจอ  จริงๆแล้วในบทความดังกล่าวจะมีรายละเอียดเล่าเหตุการณ์ในแต่ละเทค เสมือนเราไปนั่งอยู่ในห้องบันทึกเสียงด้วยเลย แต่ไม่อยากจะแปลเอามาลงให้ทุกคนได้ทราบทั้งหมด   เพราะเกรงว่า ห้องบันทึกเสียงจะจุพวกเราทุกคนไม่พอ (ฮา)

             สรุปแล้วคือ  บันทึกเสียงเสร็จ เรียบร้อย อัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band  วางขายในวันที่ 11 ธันวาคม  1970   โดยโปรดิวเซอร์เพลงนี้ คือ John / Phil และแน่นอนที่ขาดเสียไม่ได้ คือ  Yoko Ono

          เพลง  Love ก็ถูกนำมา remix  เพื่อทำเป็น ซิงเกิ้ล  และมี B-side เป็นเพลง  Gimme some truth ( ซึ่งในปกเขียนชื่อเพลงนี้ว่า  Give me some truth)  และถูกปล่อยออกมาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1982  

..............................................

กลับมาเรื่องราวแห่งความรัก ของบุคคลอมตะ คนนี้กันสักเล็กน้อยดีกว่า
          ก่อนหน้าที่ John จะรักกับ Yoko  เขามีลูกแล้ว  แต่ John ลุ่มหลงคนรักใหม่คือ Yoko จนสามารถทิ้ง ภรรยา Cynthia กับ Julian ลูกชายคนโต หรือแม้กระทั่ง The Beatles เอาไว้เบื้องหลังได้โดยไม่ยี่หระ 
          ไม่ขอกล่าวถึง ที่มาที่ไปของความรักของ John และ Yoko  เพราะคาดเดาว่า ทุกคนน่าจะทราบรายละเอียดดีอยู่แล้ว  หากแต่จะย้ำให้ได้เห็นถึงอานุภาพของ “รัก”   ผ่านการที่ John ได้พบ และรักกับ Yoko Ono” หรือพูดง่ายๆว่า เพราะ รัก” นี่เองที่ทำให้ John สร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะเห็นได้ว่าในแต่ละเพลงที่ John ได้ถ่ายทอดลงในผลงานของเขา จะสื่อแสดงถึง รักที่เขามีต่อ Yoko และ รักที่เขามีต่อมวลมนุษยชาติ ผ่านการเรียกร้องเสรีภาพและต่อต้านสงคราม
            แม้ว่าความรักครั้งนี้ จะนำพามาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆมากมาย แต่สำหรับ John Lennon  ไม่ว่าอะไรจะเกิด  ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีหญิงคนรักอยู่ข้างกาย     ---   Yoko Ono  นั่นคือ “รัก”สุดท้ายของ John Lennon

 John Winston Ono Lennon  จากไปอย่างกะทันหันด้วยน้ำมือของ  Mark David Chapman ในตอนดึกของวันที่ 8 ธันวาคม 1980   และภาพของ John บนซองซิงเกิ้ล(Sleeve) ที่ออกวางขายในวันที่  15 พฤศจิกายน 1982  นั่นก็คือภาพถ่ายโดยตากล้องผู้มีชื่อเสียง  Annie  Leibovitz  ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 นั่นเอง


และ Mark David Chapman  ให้การว่า ทนเห็นศิลปินในดวงใจ ใช้ชีวิตเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไป    ที่ต้องฆ่า  เพราะ “รัก”

                                                                                 ด้วย “รัก”
                                                         23.15 น.  คืนวันพุธที่ 8 พฤษภาคม  2556
                                                                                                                                                                             
                                                                                ไผ่แก้ว

                     

เม้าซี่ เม้าท์ซ่าส์ ประสาไผ่แก้ว ตอน 1


เรียบง่าย แต่ได้ใจ

หลังจากมีหลายอย่างเกิดขึ้นภายในห้วงเวลาอันสั้น  ความเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิด ความเปลี่ยนแปลง

เพื่อนคนนึงบอกว่า  ยักษ์ได้หลับนานเกินไปแล้ว  ได้เวลาปลุกยักษ์แล้ว : เห็นด้วยอย่างยิ่ง ว่าแต่ยักษ์น่ากลัวมะ

ก่อนหน้าที่เพื่อนคนนั้นจะพูดเช่นนั้น มีเพื่อนคู่นึง บอกว่า  คุณไหม น่าจะทำหน้าเว็บของสถานี ให้มีการแปลเพลง วันละเพลงก็ยังดี  จะได้เป็นที่ ที่คนเข้ามาอ่านดูได้  เพื่อนคงจะหมายความว่า มันจะได้ไม่เป็นบ้านร้าง หรือป่าช้า : เห็นด้วยเช่นกัน แต่ขอต่อรองเป็นเดือนละเพลงได้มะ

ส่วนเพื่อนรุ่นพี่และรุ่นน้อง ก็พยายามลากคนรู้จัก เข้ามาช่วยกันฟังรายการ อย่างแข็งขัน  : อันนี้ขอบคุณมากๆ

วินาทีสำคัญ ที่เห็นการช่วยเหลือ ที่ทุกคนคงจะมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ ความเข้มแข็งและความสำเร็จของเพื่อน  วินาทีนั้นช่วยสร้างอะไรต่อมิอะไร ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไป  เพื่อแทนคำขอบคุณ ที่เพื่อนทุกคนมีให้ ด้วยใจ
......
พร่ำเพ้อไปหลายบรรทัด  เพื่อเรียกอารมณ์ ดราม่า ให้บังเกิด  (ครุคริ)   การบ้านในคืนแรกคือ  จะเลือกเพลงไหนมาเป็นเพลงมหาฤกษ์ เอ๊ย เพลงเปิดตัว ในการจะเริ่มเผยแพร่ในบล็อกนี้ 
ยิงปืนนัดเดียว กะว่าให้ได้นกทั้งฝูง  (อันเนื่องมาจากว่า ข้าพเจ้าเป็นคนสันหลังยาว จะให้ทำงานเยอะๆคงจะไม่เหมาะกับจริต) การหาเพลงในแต่ละวัน จะใช้กับ 3 งาน  อย่างแรกคือ ใช้ในบล็อกนี้ล่ะ  อย่างที่สอง ใช้ในหน้าเว็บ และอย่างที่สาม ใช้ในการจัดรายการ ที่เม้าซี่ ปากดี เรดิโอ ซึ่งทุกคนได้ฟังกันอย่างเสมอภาค ที่  www.mouzeeradio.com  และพิเศษที่จะได้อ่าน Song Fact ของเพลงต่างๆในเว็บนั้นด้วย

                                หมายเหตุเอาไว้ตัวโตๆ ว่า  ถ้ามีเวลาทำ  
                     และไม่มีการสัญญาว่าจะทำทุกวัน หรือจะทำทุกกี่วัน
                       และ ข้อมูลต่างๆ ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง ก็ช่วยกันแก้ไขได้นะคะ

.......

เริ่มต้นวันแรก ต้องบอกที่มาที่ไปเยอะหน่อย  จะได้ดูเหมือนเป็นคนมีหลักการ 

หลักการในการคิดหาเพลงแรก ของคนอื่นเป็นไงไม่รู้นะ แต่สำหรับข้าพเจ้าเอง เดินไปหยิบแฟ้มข้อมูลเพลงที่เก็บไว้  เอามาปัดฝุ่น แล้วก็ เดินไปมาสองรอบ เปิดคอมฯ แล้วคิดว่า  เออ จะเปิดคอมฯ ทำไมเนี่ย   อยู่ดีๆ ก็ฮัมเพลง  ... และเพลงที่ฮัมขึ้นมาเฉยๆ นั่นก็คือเพลงนี้ http://www.youtube.com/watch?v=tIdIqbv7SPo

Ain’t  no sunshine


Ain't no sunshine when she's gone 
It's not warm when she's away. 
Ain't no sunshine when she's gone 
And she's always gone too long 
Anytime she goes away. 

Wonder this time where she's gone 
Wonder if she's gone to stay 
Ain't no sunshine when she's gone 
And this house just ain't no home 
Anytime she goes away. 

And I know, I know, I know, I know, 
I know, I know, I know, I know, I know, 
I know, I know, I know, I know, I know, 
I know, I know, I know, I know, I know, 
I know, I know, I know, I know, I know, 
I know, I know, 
Hey, I oughtta leave young thing alone 
But ain't no sunshine when she's gone 

Ain't no sunshine when she's gone 
Only darkness every day. 
Ain't no sunshine when she's gone 
And this house just ain't no home 
Anytime she goes away. 
Anytime she goes away. 
Anytime she goes away. 
Anytime she goes away.

เมื่อเธอจากไป เหมือนสิ้นไร้ซึ่งแสงแห่งตะวัน   (นี่ก็ลอกเค้ามานะ)

ยามเธอจากไป.. ผมไร้หวัง
เธอจากไปแล้ว.. ไม่เหลือแม้ความอบอุ่น
ยามเธอจากไป.. ผมไร้ซึ่งความหวัง
แต่ละครั้งที่เธอจากไป.. ช่างยาวนานเหลือเกิน

แล้วครั้งนี้ล่ะ เธอหายไปไหนหนอ
ยังสงสัยว่าจะหายไปตลอดกาลไหมนี่
เธอจากไป  ผมหมดสิ้นความหวัง
บ้านนี้ก็ไม่เป็นบ้าน ..ทุกครั้งเมื่อเธอจากไป

ผมรู้นะ   ( รู้ไป  26 รอบ )

ความจริงแล้ว.. ผมควรจะให้อิสระแก่เธอ
เธอจากไปแล้ว ความหวังก็หมดสิ้น, ทุกวันมีแต่ความมืดมน
เธอจากไป  ผมหมดสิ้นความหวัง
บ้านนี้ก็ไม่เป็นบ้าน ..ทุกครั้งเมื่อเธอจากไป  ...




 ต้องบอกก่อนเลย ว่าคำแปลนี่ หาลอกเค้ามา เพื่อความสุนทรีย์ เพราะถ้าเป็นการแปลเอง จะแปลได้แค่สั้นๆว่า 
“ขาดเธอแม้ฉันจะไม่ขาดใจ  แต่  ฉันเหมือนขาดไร้ซึ่งกำลัง”   .. ประมาณนี้ล่ะค่ะ ถ้าหากแปลเอง ซึ่งก็น่าจะไม่เกิดประโยชน์มากนัก  555
        ……
แต่สิ่งที่จะเอามาเล่า เพื่อเพิ่มจำนวนบรรทัดให้ดูเหมือนจะมีอะไรให้อ่าน นั่นคือเรื่องราวของเพลงนี้  คิดว่าหลายๆคน คงจะแอบฮัมเพลงนี้อยู่บ่อยๆเหมือนกัน  ถ้าเป็นคนยุคใหม่หน่อย ก็คงจะฮัมตอนออกจากโรงภาพยนตร์ เมื่อคุณชม Nothing Hill จบ  ไม่ขอพูดเรื่องหนัง เพราะว่า นี่คือบทความสั้นๆ ที่เกี่ยวกับเพลง  
คนแต่งเพลงนี้น่าจะมีความสุขกับผลงานชิ้นนี้มากๆ เพราะเป็นเพลงที่มีการนำมาทำซ้ำ  หรือภาษาเก๋ๆ เค้าต้องเรียกว่า Cover หลายๆครั้ง เอาเฉพาะที่มีข้อมูลก็ไม่อยากจะพิมพ์แล้ว (อย่างที่บอกว่า ข้าพเจ้าสันหลังยาว) แต่เอาเหอะ ไหน ไหน ก็ ไหน ไหน
เริ่มที่การใช้เป็น soundtrack  ก็มี  Notting Hill, Old School, Amy, Crooklyn, American Me, Munich  และ Flight . 
จำพวก TV Series ใช้เยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพลงเด่นในเรื่องที่ตัวเอกนำไปร้อง หรือว่าจะเป็นเพลงแสดงอารมณ์ของตัวละคร เล่าเรื่องราวในเรื่อง อาทิเช่น  Perception  , Drawn Together (episode "Dirty Pranking No. 2,  CSI: Crime Scene Investigation  (episode "Anonymous”),  LAX (episode "Secret Santa")., Monk  (episode "Mr. Monk Goes to Vegas.") บลา บลา บลา        หรือจะเป็นการ Cover  ก็มีหลายราย  ยกตัวอย่างเช่น  ในปี  1995 Joe Cocker นำเพลงนี้มาร้องในอัลบั้มของเขา  , ในปี  2000, Eva Cassidy นำมาร้องในอัลบั้ม Time After Time และในปี  2010  Neil Diamond  นำเพลงนี้มาร้องในอัลบั้ม Dreams
บลา บลา บลา
..................
                เพลงนี้แต่งโดยคนที่ร้อง และคนที่ร้องเป็นคนแต่ง  นั่นคือ Bill Withers  ออกสู่สายตาประชาชนในปี 1971 ในอัลบั้มชื่อ  Just as I Am .  โปรดิวเซอร์คือ  Booker T. Jones  นักดนตรีก็มี  Donald "Duck" Dunn เล่น bass Al Jackson, Jr.เป็นมือกลอง Withers เองทั้งร้องและเล่นกีตาร์  บันทึกเสียงที่  Memphis  โดยมีผู้ควบคุมการบันทึกเสียงคือ Terry Manning เพลงนี้ ปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ล ในเดือนกันยายน ปี 1971  สามารถเข้าไปอยู่ในอันดับที่ 6  U.S. R&B chart และเป็นอันดับ 3 ใน Billboard Hot 100  chart.
               ชักจะง่วงนอนแล้ว เพราะตอนนี้เวลาใกล้จะเที่ยงคืน เคยสัญญากับตัวเองไว้ว่า จะนอนไม่เกินเที่ยงคืน  เดี๋ยวตับวาย ตายซะก่อน  แต่เอาเหอะ เล่าต่ออีกหน่อย ถ้าเป็นตับวาย  ก็โทษคนอ่านแล้วกัน
            แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้  Withers เขียนขึ้นหลังจากชมภาพยนตร์ เรื่อง  Days of Wine and ลอกคำพูดของเค้ามาเลยดีกว่า แปลเดี่ยวผิดๆ ถูกๆ  คือ . เค้าพูดถึง บุคลิกของตัวละครทั้งสองในเรื่องว่า  "They were both alcoholics who were alternately weak and strong. It's like going back for seconds on rat poison. Sometimes you miss things that weren't particularly good for you. It's just something that crossed my mind from watching that movie, and probably something else that happened in my life that I'm not aware of." (อ่านจบ ช่วยแปลให้ข้าพเจ้าด้วยนะ)
จะเรียกว่าเป็นจุดเด่น ก็ไม่แน่ใจ หรือจะเรียกว่า เป็นความบังเอิญ ก็ไม่เชิง  เอาเป็นว่า ในท่อนที่สามของเพลงนี้  ตอนแรก  Withers ตั้งใจที่จะเติมเนื้อร้องเข้าไปแทนที่จะเป็น   "I know"  ถึง  26 ครั้ง  แต่เมื่อไปปรึกษาเพื่อนๆนักดนตรี เพื่อนบอก  เฮ้ย เอาอย่างนี้ล่ะ ไม่งั้นไม่ได้อัดซะที  555 ล้อเล่น  เพื่อนๆ นักดนตรีบอกว่า เอาไว้งี้ล่ะ เค้าก็เชื่อ  (ไม่รู้เค้าพูดติดตลก หรือว่าคิดอย่างนี้จริงๆนะ  เค้าบอกว่า  ผมน่ะมันเป็นแค่คนงานในโรงงาน  เพื่อนๆเค้าเป็นนักดนตรี  เค้าว่าเอางี้  ผมก็ว่าเอางี้  --- เรื่องของเรี่องคือ   Withers เคยทำงานใน โรงงานผลิตโถส้วม ให้กับเรือบิน  747 อยู่ช่วงนึง )
อีกอย่าง เพลงนี้จริงๆแล้ว ไม่ใช่เป็น ซิงเกิ้ลที่ตั้งใจให้เป็นซิงเกิ้ลนะ  แต่เป็นเพลงที่อยุ่ใน  B-side ของเพลง "Harlem". แต่ Disc jockeys  หรือดีเจเสียงใส กลับเล่น   "Ain't No Sunshine" เสมือนว่า เป็นซิงเกิ้ล  เลยกลายเป็นฮิตกัน ระเบิดระเบ้อ  ทำให้   Withers  ดังเป็นพลุแตก ด้วยเช่นเดียวกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ดีเจ  ทำอะไรก็ไม่ผิด !!!!!
                                                                      ราตรีสวัสดิ์
                                                                         0.15 น.  ก้าวเข้าสู่วันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2556
                                                                                    ไผ่แก้ว
อ้อ  ลืมบอกไปว่าเพลงนี้เป็น  natural minor  มิน่าล่ะ  ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ชอบ เพราะอย่างนี้นี่เอง .... ครอกฟี้








Listen MOUZEE (pakdee) RADIO