คลิกเพิ่มความสนุกในการฟังเม้าซี่ ปากดี เรดิโอ

คลิกเพิ่มความสนุกในการฟังเม้าซี่ ปากดี เรดิโอ
www.mouzeeradio.com

เม้าซี่ เม้าท์ซ่า ประสาไผ่แก้ว ตอน 5

ตากลม แก้มใส Skidamarink

เรื่อง ของ เรื่อง มีอยู่ว่า  ครูเก่ง กัลยาณมิตร คนนึงของไหม เคยได้แนะนำให้ไหมได้ดูเว็บเพจที่น่ารักมาก ของน้องน่ารักที่ชื่อ
เวียงพิงค์ 

และต่อมา นานพอควร มีเวลาคลิกเข้าไปดูคลิปของน้อง ... เด็กน่ะน่ารักอยุ่แล้ว แต่เพลงประกอบน่ะสิ ที่ทำให้ติดใจเข้าไปใหญ่ เคยไปโพสต์ถามแต่น่าจะเป็นเพราะจำนวนคนโพสต์เยอะเกินไป  คุณแม่ของน้องเลยอาจจะไม่เห็น เลยไม่ได้รับคำตอบว่าเป็นเพลงชื่อว่าอะไร 
(หรือเค้าตอบแล้วเราหาไม่เจอก็ไม่ทราบ เพราะคนโพสต์คอมเม้นท์เยอะจริงๆค่ะ)
สัปดาห์ที่ผ่านมา พอจะมีเวลานิดหน่อย เลยตั้งใจหาจากเนื้อร้อง สรุปว่า หาไม่ยากเลย คลิกเดียวเจอ  เลยได้เพลงนี้มาฝากทุกคน  Skidamarink
อ่านเนื้อเพลงก่อน แล้วเดี๋ยวเรามาร้องตามกันนะคะ   …


Skidamarink a-dink, a-dink,
Skidamarink a-doo,
I love you. (2x)

I love you in the morning,
And in the afternoon;
I love you in the evening,
I love you at supper time.
And underneath the moon.

                                    Oh, skidamarink a-dink, a-dink,
                                   Skidamarink a-doo,
                                    I love you.

เอาล่ะ  ได้เวลามาร้องเพลงด้วยกันแล้วนะคะ  เลือกเวอร์ชั่นนี้มาฝากกันนะคะ 
พูดถึงเพลงกันต่อ
เพลงนี้... เป็นเพลงสำหรับเยาวชนที่ดังมากๆๆ  (แล้วทำไมเราไม่เคยร้องเลย สงสัยเรามัวแต่ร้อง แมงมุมขยุ้มหลังคา  แมวกินปลา หมากัดกระพุ้งก้น!)  มีประวัติที่ยาวนาน เพราะเพลงนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1910 ในละครเพลงบรอดเวย์ ที่ชื่อว่า  The Echo  ใช้เป็นเพลงตอนจบ ที่เราเรียกว่า  Finale song  
แต่ว่ากันว่า คนที่ทำให้เพลงนี้ดังมากๆๆๆๆๆๆ  ชื่อว่า  Jimmy Durante  และเอามาทำใหม่ในปี 1950  และต่อจากนั้น เพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงที่มีการเอามาใช้ใน โชว์สำหรับเด็กๆ ที่เราน่าจะรู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น  Banana in Pyjamas กล้วยหอมจอมซน B1 B2   จากออสเตรเลีย หรือใช้ในโชว์ของแคนาดา  The Elephant Show  และอื่นๆ อีกมากมาย (อ่านแล้วก็คงรู้ ว่า คนเขียนเริ่มขี้เกียจบรรยาย)

ฟังเพลงให้สำราญใจ  ฝึกร้องเอาไว้ให้คล่อง จะได้ดูเหมือนตอนเด็กๆ พ่อแม่ส่งไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ   โตมา ได้ดูโชว์ทีวีของต่างประเทศ  เดินไปไหนมาไหนจะได้ฮัมเพลงนี้แทนเพลง แมงมุมขยุ้มหลังคาฯ


ไฮโซ ซะ!


                                                          อยากกลับไปเป็นเด็ก  จะรบเร้าให้พ่อแม่ส่งไปเรียนโรงเรียนฝรั่ง
                                                                                                            ไผ่แก้ว

                                                                                                 8.55 น. วันที่ 4 มิถุนายน 2556

เม้าซี่ เม้าท์ซ่า ประสาไผ่แก้ว ตอน4



ทางสู้ ...... สู่ฝัน อันปัจเจก

เวลาที่มีคนมาถามคุณว่า  เพลงที่ชอบคือเพลงอะไร    คุณใช้เวลาคิดกี่วินาที
ถ้าคุณคิดนานเกิน 1 วินาที  แปลว่า ไม่ชอบจริงๆแล้วล่ะ 
เพราะถ้าชอบจริงๆ  เพลงเหล่านั้นจะประทับอยู่ที่ริมฝีปากของคุณเลย  ไม่ใช่ติดอยู่ที่ริมฝีปากด้านใน แล้วต้องใช้เวลาคิด  แต่มันต้องหลุดออกมาราวกับมันเกาะอยู่ที่ริมฝีปากนอก พร้อมที่จะหลุดออกมาได้ตลอดเวลา .
และถ้ามีใครถามไหมว่า  เพลงที่ไหมชอบ  มีเพลงอะไรบ้าง  เพลงที่หลุดออกมา เป็นเพลงแรก  หรือ บางครั้งอาจจะเป็นเพลงที่สอง  นั่นก็คือ เพลงนี้  เวอร์ชั่นนี้
  
                                                                   



                                                                                                 เพลงที่ถือได้ว่า เป็นเพลงสัญลักษณ์แห่งนักสู้   เป็นวิถีทางแห่งผู้เรียนรู้โลก และเป็นเสมือนเสื้อสามารถของคนที่คิดว่าตัวเองผ่านโลก  และลุยฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย  ไหมฟังเพลงนี้ ครั้งแรกตอนไหนก็   จำไม่ได้  แต่จำได้ถึงความรู้สึกว่า ตอนนั้น รวมความแล้ว  แปลออกแค่ประโยคท้ายๆ ว่า  เออ ! ฉันทำทุกอย่างตามแบบฉบับของฉัน  ไม่รู้ล่ะ อะไรจะยังไง  แต่ฉันก็มีวิธีและวิถีของตัวฉันเอง  5555

                คนเรามันก็เจอหลายช่วงของชีวิต ขาขึ้น ขาลง ขาเทียม(เฮ้ย!)  บางครั้งความสุขมันก็เข้ามาเป็นขาประจำ  ความทุกข์มันก็เป็นขาจร หรือบางคนอาจจะสลับกัน อันนั้นก็แล้วแต่เวรกรรมของแต่ละคน  ซึ่งเพลงนี้สามารถที่จะสื่อความคิด ความรู้สึกของไหมออกมาได้เกือบทุกวรรค ทุกประโยค  บางประโยคนี่ ยังแอบคิดว่า  เอ๊ะ ! นี่เค้าแอบมารู้ความรู้สึกเราได้ยังไงกันนี่
    ..........................................................................

สิ่งเหล่านี้ก็ต้องยกเครดิตให้ผู้แต่ง  Paul Anka  ซึ่งใช้คำได้เฉียบ ครอบคลุมได้ทุกความรู้สึก  ที่มาที่ไปของ เพลงนี้ เกิดมาจาก Paul   ได้ฟังเพลงฝรั่งเศสเพลงนึง ชื่อว่า  Comme d'habitude  ตอนที่เขาไปพักผ่อนที่ฝรั่งเศส  หลังจากนั้น สองปีต่อมา  ระหว่างที่ Paul  ทานอาหารเย็นกับ Frank  ที่ฟลอริด้า  ก็คงจะพูดคุยกันตามประสาเพื่อนๆ  แล้ว Frank ก็บ่นเรื่องธุรกิจขึ้นมา ว่าจะเลิกทำแล้ว มีปัญหา  ฯลฯ ( เค้าคงคุยกันเยอะ แต่เรารู้แค่นี้ก็พอแล้วนะ)
            เท่านั่นล่ะ  พอ Paul Anka  บินกลับนิวยอร์ค  ก็กลับไปเขียนเพลงให้กับ Frank  โดยใช้ทำนองเดิมของเพลงฝรั่งเศสเพลงนั้น และเปลี่ยนเนื้อร้องเสียใหม่ ให้เข้ากับเรื่องราว  (อ้อ.. ลืมบอกไปว่า Paul  เค้าติดต่อเรื่องลิขสิทธิ์ทำนองเรียบร้อยตั้งแต่ที่ฝรั่งเศสแล้ว เค้ารู้ดีว่า เรื่องแบบนี้สำคัญ)   เค้าเริ่มต้นเขียนเพลงนี้ตอนตี1 เขียนไปก็คิดไป ว่า เอ๊! นี่ถ้าเป็นเจ้า Frank เนี่ย  มันจะพูดประโยคนี้ว่าอะไรน๊า  ถ้าเป็นมัน  มันจะเขียนว่าอะไรน๊า  ...ง่ายๆเลย คือ เขาคิดที่จะให้เพลงนี้ เป็นเพลงที่เหมือนกับสื่อสารมาจาก Frank Sinatra   จริงๆ ใช้คำแบบที่เป็น Frank   ถ่ายทอดในแบบที่เป็น Frank

ตอนตี 5 เพลงนี้เสร็จเรียบร้อย  และเค้าก็โทรหา Frank  บอกว่า เฮ้ย! อั๊วมีอะไรพิเศษ ๆ จะให้ลื้อ  ( เอิ่ม  นี่มันหนังฝรั่งหรือว่าหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้กันแน่เนี่ย  )  และเพลงนี้ Paul Anka  บอกว่า Frank เท่านั้น!  ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น+  เพราะเพลงนี้ แต่งมาเป็นพิเศษสำหรับ Frank Sinatra  คนเดียว  คนอื่นจะเอาไปร้องเนี่ย มันไม่ใจ  เพลงนี้เลยได้บันทึกเสียง เมื่อ 30ธันวาคม 1968
..........................

 .. แต่เชื่อหรือไม่ว่า หลังจากFrank ออกซิงเกิ้ลนี้ไปได้แว๊บเดียว  Paul Anka ก็เอาเพลงนี้มาบันทึกเสียงเอง ... เฮ้อ  อะไร อะไร มันก็ไม่แน่นอนจริงๆ



                                                                                              ขอมอบรอยยิ้ม ให้กับอุปสรรคทั้งมวล

                                                                                     21.30  น.    คืนวันอาทิตย์ ที่ 12 พฤษภาคม 2556

                                                                                                                             ไผ่แก้ว


ปล.  จากการกลับไปอ่านบทความก่อนๆ ที่เขียนไว้  และได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษา  จึงขอนำเอาเนื้อเพลงและคำแปลมาใส่ไว้ด้านล่างบทความ น่าจะเกิดประโยชน์สำหรับทุกท่าน มากขึ้น ( หรือท่านใดว่าอย่างไร ก็แนะนำมาได้นะคะ)



MY WAY : Frank Sinatra 
And now, the end is near ;                                                 ตอนนี้ จุดจบก็ใกล้เข้ามาทุกที   
And so I face the final curtain.                                            ในที่สุดผมก็คงต้องพบกับฉากสุดท้าย
My friend, I’ll say it clear,                                              เพื่อนเอ๋ย ผมจะบอกกันชัดๆเลยนะ
I’ll state my case, of which I’m certain.                           ผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดของผมให้ฟัง                                                                         
I’ve lived a life that’s full.                                                     ชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้มันอย่างเกินคุ้ม                                  I’ve traveled each and ev’ry highway;                             ท่องไปในทุกหัวระแหง
And more, much more than this,                                      และที่สำคัญไปกว่านั้น
I did it my way.                                                              ผมได้ใช้ชีวิต...ในแบบของผม


Regrets, I’ve had a few ;                                                  ถ้าจะถามว่าผมเคยเสียใจไหม? ก็คงมีบ้าง....
But then again, too few to mention.                                   แต่มันก็น้อยเสียจนไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง
I did what I had to do                                                       ผมทำในสิ่งที่ผมต้องทำ
And saw it through without exemption.                               ผมมองมันทะลุทุกอย่างแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ
I planned each charted course ;                                         ทุกเส้นทางผมวางแผนไว้เป็นอย่างดี
Each careful step along the by way,                                 ทุกย่างก้าวผมไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
But more, much more than this,                                        และยิ่งไปกว่านั้น
I did it my way.                                                                ผมทำมันทั้งหมด...ในแบบของผม...
Yes, there were times, I’m sure you knew                       ใช่ ผมแน่ใจว่าคุณรู้ว่ามีหลายครั้ง...
When I bit off more than I could chew. ...                          ที่ผมทำอะไรเกินตัวไปหน่อย
But through it all, when there was doubt ,            แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันมีอุปสรรค  อะไรมาทำให้ผมสะดุด
I ate it up and spit it out.                                                 ผมก็จะกัดฟันแลกหมัดกับมัน
I faced it all and I stood tall ;                                           ผมเผชิญหน้ายืนสู้ไม่เคยถอยหนี
And did it my way                                                           และจัดการกับมัน...ในแบบของผม
I’ve loved, I’ve laughed and cried.                                  ผมเคยมีรัก, ผมเคยหัวเราะ ผมเคยร่ำไห้
I’ve had my fill; my share of losing.                      ผมเคยเปรมปรีดิ์....และ ผมก็เคยสัมผัสกับความสูญเสีย
And now, as tears subside,                                             และวันนี้ เมื่อน้ำตาเหือดแห้งลง
I find it all so amusing.                                                     ผมกลับมองว่าทุกเรื่องที่ผ่านมามันช่างน่าขัน
To think I did all that;...                                                   ผมคิดว่าสิ่งที่เคยทำผ่านมาทั้งหลายนั้น
And may I say - not in a shy way,                                                         
อาจจะพูดได้ว่า ผมไม่ละอาย
No, oh no not me,                                                                                  โอ้...ไม่...ไม่ใช่ผมแน่

I did it my way.                                                               ผมทำในวิถีทางแบบของผม
For what is a man, what has he got?                                ก็สำหรับชายคนหนึ่ง เขาจะมีอะไรเล่า?
If not himself, then he has not.                       ถ้าเขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง  นั่นก็เท่ากับเขาไม่มีอะไรเลย
To say the things he truly feels;                                       เพื่อที่จะพูดในสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆ
And not the words of one who kneels.                           ไม่ใช่คำพูดจากปากของผู้ยอมศิโรราบ
The record shows I took the blows –                              ทุกอย่างบันทึกไว้ว่าผมรับมือได้กับทุกสิ่ง
And did it my way !                                                        และจัดการมัน...ในสไตล์ของผม.....
Yes it was my way.                                                         ใช่แล้ว มันคือวิถีของผม....

เม้าซี่ เม้าท์ซ่าส์ ประสาไผ่แก้ว ตอน3


ณ  ปลายสายรุ้ง

งานชิ้นที่ 3 เริ่มต้นดึกขึ้นเรื่อยๆ   อันที่จริง ต้องบอกว่าเข้าสู่วันใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว กว่าจะได้เริ่มต้นงานชิ้นนี้  ..เข้าเรื่องเลยดีกว่า 
………………………

 ไม่ว่างานชิ้นใด ของใครคนไหน  ไหมเชื่อว่าต้องเกิดจากแรงบันดาลใจทั้งสิ้น
แรงบันดาลใจของการเขียนครั้งนี้  อยู่ที่เด็กผู้หญิง คนที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเจรจาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งที่เจอกัน  ความสดใสน่ารักสมวัยของเจ้าตัวน้อย ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราประทับใจ  ความฉลาดเฉลียวของคุณเธอ ทำให้เราวางใจ(ว่าโตขึ้นคงจะพ้นภัย อันตราย)   และนิทานเรื่องซินเดอเรล่า ที่เธอเล่าให้ฟังในช่วงค่ำ – ดึก นั่นเอง ที่เป็นแรงบันดาลใจในบทความนี้
………………………

การออกเดินทางของชีวิตมนุษย์ อาจเกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งบนโลกใบกว้าง   ทุกชีวิตต่างออกเดินทางและแสวงหา ตามความปรารถนา   ปลายทางของแต่ละชีวิต จึงแตกต่างกันไปตามใจปรารถนาของตน  หลายชีวิตยังคงติดอยู่ระหว่างทาง และก้าวเดินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำได้แค่ชะเง้อมองดูแสงแห่งความสำเร็จที่ขอบฟ้า  ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีหลายชีวิตที่กำลังอาบแสงนั้นอยู่ที่ฝั่งฝัน  ณ ปลายสายรุ้ง
...................

วันที่ 25 สิงหาคม คศ. 1939   ภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน  ความยาว 101 นาที จากบทประพันธ์ ในปี 1900 ของ L. Frank Baum  ได้เริ่มออกฉายสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม ในฐานะภาพยนตร์ผจญภัยแฟนตาซี  นับแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้  ภาพยนตร์เรื่องนั้น ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวถึง ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์เพลงระดับคลาสสิค เรื่องนึงของโลก   เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เคยตาย ไม่เคยหลับ และไม่เคยสิ้นค่า  ด้วยเวทมนตร์มายา ของพ่อมดแห่ง Oz …..
 The Wizard Of Oz .

สาวน้อย โดโรธี  พลัดพรากจากครอบครัวของเธอที่อาศัยอยู่ในแคนซัส เพราะลมพายุพัดเธอไปตกอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า ออซ    เธอพยายามทุกวิถีทาง ที่จะเดินทางกลับบ้านให้ได้  เธอจึงเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองมรกต เพื่อตามหา “พ่อมดออซ ผู้ยิ่งใหญ่”  โดยหวังว่าเวทมนตร์คาถาของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ จะสามารถช่วยให้เธอกลับบ้านได้
ในระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับเรื่องราวต่างๆมากมาย และได้เพื่อนร่วมทาง 3 คน  คนแรกเป็นหุ่นไล่กาที่คิดเสมอว่า ตัวเองนั้นโง่ จึงมีความปรารถนาจะได้เจอพ่อมดออซ เพื่อให้พ่อมดช่วยใส่สมอง ให้ตน     คนที่สองคือชายตัดไม้ ที่ร่างกายถูกสร้างด้วยดีบุก เขาจึงคิดเสมอว่าตัวเองนั้นไม่มีหัวใจ และหวังว่า พ่อมดจะช่วยทำให้ความปรารถนาที่จะมีหัวใจเป็นจริงขึ้นมาได้  คนที่สามคือ สิงโต ผู้ซึ่งมีอุปนิสัยขลาดกลัว จึงอยากไปหาพ่อมดออซเพื่อจะขอความกล้าหาญให้กับตน  
เมื่อมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน สหายทั้ง 4 จึงร่วมกันออกเดินทางผจญภัยเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตนปรารถนา  และเมื่อไปถึงเมืองมรกตอันเป็นจุดหมายปลายทาง สิ่งที่ทั้ง 4 ได้ค้นพบคือ  แท้จริงแล้วพ่อมดแห่งออซ เป็นเพียงคนธรรมดาจอมปลอมคนนึง ไม่ได้มีเวทมนตร์คาถาใดเลย  แม้ทั้ง 4 จะผิดหวังแต่ยังคงตั้งปณิธานที่จะเดินทางร่วมกันต่อไป  สุดท้าย ทุกคนก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่ตัวเองปรารถนาและไขว่คว้านั้น แท้จริงแล้วก็มีอยู่ในตัวของพวกเขาเอง  หาใช่ต้องพึ่งพาเวทมนต์ คาถาใด จากพ่อมดคนใดทั้งสิ้น
.........................

ตกลงจะเขียนเรื่องหนัง หรือจะเขียนเรื่องเพลงกันแน่เล่าเรื่องย่อเยอะนิดนึงนะคะวันนี้ เพราะ ย้อนคิดไปถึงสมัยที่เรียน ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (ก็เหมือนกันนิเทศศาสตร์นั่นล่ะ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  วิชาภาพยนตร์ เป็นวิชาพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน  และ The Wizard of Oz  นี่ก็เป็นเรื่องนึง ที่สุดคลาสสิค ที่ไม่เรียนไม่ได้  ทั้งดู ทั้งเรียน ทั้งวิเคราะห์ และ  สอบ !  
.......................

ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จถล่มทลาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นสาขาดนตรี  ทั้งรางวัล Best Original Score  และ รางวัล Best Song  จากเพลงสุดคลาสสิค ที่ชื่อว่า   OVER THE RAINBOW  ซึ่งเพลงนี้ได้ทำให้นักแสดงสาวผู้รับบท โดโรธี ได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว    เธอคือ JUDY GARLAND 
....................................

Over The Rainbow 


Somewhere over the rainbow 
Way up high 
There's a land that I heard of 
Once in a lullaby 
จากเพลงกล่อม ยามนอน ที่เคยได้ฟัง 
มีดินแดนแห่งฝัน 
ณ ฟากฝั่งโน้นของสายรุ้งสูงละลิ่ว 


Somewhere over the rainbow 
Skies are blue 
And the dreams that you dare to dream 
Really do come true 

ดินแดนแห่งฟ้าสีคราม 
ที่ซึ่งแม้ความฝันสูงสุดของเรา 
ก็จะกลายเป็นจริง 
ณ ฟากฝั่งโน้นของรุ้งรำไพ 


Some day I'll wish upon a star 
And wake up where the clouds are far behind me 
Where troubles melt like lemondrops 

วันหนึ่ง จะตั้งจิตอธิษฐานต่อดวงดาว 
ขอให้ตื่นมาในดินแดนที่เมฆร้ายคล้อยผ่าน 
ความทุกข์ยาก ละลายหาย เหมือนลูกอมรสมะนาว 


Away above the chimney tops 
That's where you'll find me 
Somewhere over the rainbow 

เบื้องบน เลยปล่องไฟขึ้นไป 
ณ อีกฟากฝั่งของสายรุ้ง 
เธอจะพบฉันได้ ณ ที่นั้น 


Bluebirds fly 
Birds fly over the rainbow 
Why then, oh why can't I? 

เมื่อบลูเบิร์ด สกุณา 
สามารถร่อนถลาข้ามสายรุ้ง 
ไฉนเลย ฉันจะไม่อาจข้ามไปได้เช่นกัน 


Some day I'll wish upon a star 
And wake up where the clouds are far behind me 
Where troubles melt like lemondrops 
Away above the chimney tops 
That's where you'll find me 
Somewhere over the rainbow 

กับดวงดาว อธิษฐาน วอนความฝัน 
ขอไปแดน ซึ่งเมฆควัน ผ่านพ้นหาย 
ซึ่งความทุกข์ ปวดร้าว รู้ละลาย 
ณ สุดสาย ปลายรุ้ง ฉันรอเธอ
...........................
เครดิตคำแปล  โดยคุณจิระนันท์  พิตรปรีชา 
………………………

Over the rainbow  เป็นบทเพลงอมตะที่  Judy Garland  บันทึกเสียงไว้ในวันที่  7 ตุลาคม 1938   เป็นเพลงที่เธอเองพูดถึงอย่างประทับใจว่า  “   Over the Rainbow has become part of my life . It’s so symbolic of everybody’s dream and wishes that I’m sure that’s why some eople get tears in their eyes when they hear it. I’ve sung it thousands of times anf it’d still the song that’s closest to my heart”
...................
ฟังแล้วน้ำตาคลอ  ... หลายๆคนอาจจะคิดว่า เกินจริงหรือเปล่าเนี่ย?????  สำหรับคนอื่น ไม่ทราบได้ แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนนี้  เธอทำให้คำพูดของ Judy Garland กลายเป็นจริง   ในรายการ Britain ‘s  Got Talent   เธอคือสาวน้อยฟันหลอ  ขวัญใจของไหม -- Connie Talbot
……………………………….

ไหมตั้งใจเลือกคลิป ที่แสดงถึงความน่ารัก ความเป็นธรรมชาติ และพรสวรรค์ในตัวของเด็กผู้หญิงคนนี้มาฝากทุกคน  เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า  เมื่อถึงเวลา รูปลักษณ์ธรรมดาภายนอก ก็มิอาจปกปิด  สิ่งแท้ที่อยู่ภายใน

ในขณะที่เธอเข้าประกวด ในปี 2007 เธออายุเพียง 6 ขวบ และเพลงที่แจ้งเกิดให้เธอ นั่นก็คือ  Over The Rainbow  ในตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนี้เธอเริ่มโตเป็นสาว  และก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักร้องอาชีพอย่างเต็มตัว  เธอก้าวมาถึงฝั่งฝันได้อย่างที่ตั้งใจ  และเธอคงมีความสุขกับการอาบแสงแห่งความสำเร็จที่ขอบฟ้า  ณ ปลายสายรุ้ง

แล้วคุณล่ะ  พร้อมที่จะก้าวเดิน  หรือยัง

                                                                                                  สักวัน เราจะเจอกัน  ณ ปลายสายรุ้ง
                                                                                       1.43 น.  ย่างเข้าสู่เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม  2556
                                                                                            ไผ่แก้ว
  

เม้าซี่ เม้าท์ซ่า ประสาไผ่แก้ว ตอน 2


ฤา คือ รัก

                      งานชิ้นแรกผ่านไปแล้ว  งานชิ้นที่สอง ก็เข้าสู่กระบวนการเดิม  คิดว่าจะเอาเพลงอะไรดีนะ  ตัวเลือกเยอะเลย คราวนี้
แต่ใครจะเชื่อ ว่าเพลงที่จะนำมาเขียนถึงในครั้งนี้   จะเป็นเพลงที่ไม่เคยเป็นคำตอบ ของคำถามที่ว่า  เพลงอะไรที่ชอบ ..หรือจะเป็นเพราะว่า ชื่อของเพลงอื่นแซงเข้าไปในสมองก่อนแล้ว

                     สาเหตุที่ คืนนี้ จึงต้องมาฟังเพลงนี้  หาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงนี้ และ ดื่มด่ำอยู่กับเพลงนี้   ก็คงเป็นเพราะ  เพื่อนรุ่นพี่ท่านนึง กำลังมีอาการที่คาดเดาได้ว่า กำลังแบ่งปันนิยามแห่ง “รัก” กับเพื่อนรุ่นพี่อีกท่านนึง (สรุปคือ ข้าพเจ้ายุ่งเรื่องคนอื่นนั่นเอง)
.....................
                ตลอดระยะเวลา หนึ่งชีวิตของแต่ละคน ย่อมเจอคำว่า “รัก” กันทั้งนั้น หลายคน มีรักเดียวตลอดชีพ หลายคนรักตลอดชีพแบบไม่เคยหยุดกับใครสักคน   หลายคนไม่เคยแตะสัมผัสคำว่า “รัก”  และหลายๆๆๆคน กำลังออกตามหาคำนิยามของ “รัก”

              เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์ทั้งหลาย ที่พากันมาให้นิยามกับคำว่า “รัก”   เหล่าศิลปินต่าง ตีความคำว่า”รัก”ผ่านงานศิลปะแขนงของตน  มีหลายคนถึงขนาดแยกวิเคราะห์กันเป็นตัวอักษรเลยทีเดียว  แสดงว่าคำว่า  ”รัก”  มันช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร  

                        รักของใคร ก็รักของคนนั้น หลายคนต่างพยายามหานิยามกลางของคำว่า “รัก” แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคงต้องหากันอยู่เรื่อยๆไป  หรือแท้จริง “รัก” ไม่ได้ต้องการนิยามใดๆ  มีคนตอบแบบกำปั้นทุบดิน แต่ครบถ้วนที่สุดว่า  รัก ก็คือ รัก ( เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรจากการให้นิยามแบบนี้เลย)

                เมื่อ “รัก” คือความรู้สึกอันเป็นนามธรรม  แต่เราพยายามที่จะทำให้ “รัก” กลายเป็นรูปธรรม มันก็คงจะยากอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด  เพราะนามธรรมอันเป็นความรู้สึกนั้น มันช่างละเมียด เกินกว่าตัวอักษรใดจะมาบรรยายได้ครบถ้วน   รวมทั้งความละเมียดนี้ ต่างเกิดขึ้นต่างวาระ ต่างบุคคล ต่างสถานการณ์ ยิ่งทำให้การนิยามคำว่ารักนั้น ยิ่งยาก และยากยิ่ง

            “รัก” มีหลายชนิด หลายขนาด หลายลักษณะ  แต่”รัก” ที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้  จะขอยกเอา “รัก”  ในแบบฉบับของเพลงนี้

                                                  http://www.youtube.com/watch?v=2GmVajkqLNU

  
Love is real, real is love
Love is feeling, feeling love
Love is wanting to be loved 

Love is touch, touch is love
Love is reaching, reaching love
Love is asking to be loved 

Love is you
You and me
Love is knowing
We can be 

Love is free, free is love
Love is living, living love
Love is needing to be loved 

(อันนี้ลอกมาแล้วก็เติมนิดหน่อย เพราะเขียนอะไร ยาวๆสวยๆไม่เป็น ...
 จริงๆแทบไม่ต้องแปล ทุกคนก็เข้าใจอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวจะผิดคอนเซป )

รักนั้น คือความจริง  ความจริงคือความรัก
รักนั้น คือความรู้สึก  ความรู้สึกรัก
รักนั้น คือความปรารถนา   ปรารถนาที่จะถูกรัก

รักนั้น คือสัมผัส สัมผัสนั้นคือรัก
รักนั้น คือการไขว่คว้า ไขว่คว้าหารัก
รักนั้น คือการร้องขอ   ร้องขอเพื่อให้ถูกรัก



รักนั้น คือเธอ
เธอกับฉัน
รักนั้น คือการที่ได้รู้
ว่าเรา จะคู่กัน

รักนั้น มีอิสระ   ความอิสระเสรีนั้นก็คือรัก
รักนั้น คือการใช้ชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยรัก
รักนั้น คือความต้องการ ต้องการที่จะถูกรัก
…………………….
             เพลง ”รัก” เพลงนี้ แต่งโดยคนร้อง และคนที่ร้องเป็นคนแต่ง  (มุขเดิม) John Lennon หนึ่งใน4จตุรเทพเต่าทอง (สมญานามนี้กรุณาอย่าเลียนแบบ เพราะมันบัดสีสิ้นดี)  เพลงนี้ออกสู่โสตประสาทของประชาชนในปี 1970 ในอัลบั้มที่ชื่อว่า John Lennon/Plastic Ono Band

             แน่นอนอยู่แล้ว ว่าหลังจากนั้น ก็จะมีการนำไปทำซ้ำหลายต่อหลายครั้ง   ซึ่งในคราวนี้  จะไม่พูดถึงประเด็นนี้ อันเนื่องจากว่า จะทำให้อรรถรสของความรักเสียไป  (จริงๆ สันหลังยาวกับการพิมพ์ดีดมากกว่า)

             แรกเริ่มเดิมที เพลง Love  เกิดจากการที่ John พยายามที่จะนิยามความหมายของคำว่า “รัก” เขาแต่งโดยใช้กีตาร์ และบันทึกเพลงที่เขาแต่งไว้กับเครื่องอัดเสียงแบบเทป ที่ Primary Therapy Institute  ราวๆเดือนกรกฎาคม ปี 1970  หลังจากนั้น 3 เดือน ก็เข้าห้องอัด เพื่อเร่งทำ LP  Plastic Ono Band  ซึ่งเพลง Love นี้ ได้รับการตกแต่งใหม่ เรียบเรียงใหม่โดยการใช้เปียโนเข้ามาเป็นเครื่องดนตรีพื้นหลัก คู่กับกีตาร์   แทนที่เดิมจะใช้เฉพาะกีตาร์

              การบันทึกเสียง  มี Phil Spector  เป็นมือเปียโน และแน่นอน  Yoko Ono นั่งอยู่ในห้องควบคุมเสียงด้วย  ในขณะที่ John เล่นกีตาร์และร้องไปด้วย ในห้องบันทึกเสียง ซึ่งไม่เหมือนกับการบันทึกเสียงที่นิยม นั่นคือจะบันทึกเสียงเครื่องดนตรีไว้ก่อน แล้วจึงมาบันทึกเสียงร้องภายหลัง   ทั้งนี้เพราะ John ต้องการให้ได้ความสดของเพลง

              แต่ก็ต้องแลกกับการเล่นถึง  25  เทค  กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นเพลงที่ผู้คนทั่วไปได้ฟังกัน  เราฟังเพลงนี้เหมือนทุกอย่างง่ายไปหมด ดูเหมือนธรรมดา ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก  นักดนตรีมืออาชีพไม่น่าจะต้องเล่นกันขนาดนั้น  อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ขอบคุณข้อมูลจาก Patric Cadogan  ที่ได้เขียนบทความเอาไว้ และข้าพเจ้าได้ไปค้นเจอ  จริงๆแล้วในบทความดังกล่าวจะมีรายละเอียดเล่าเหตุการณ์ในแต่ละเทค เสมือนเราไปนั่งอยู่ในห้องบันทึกเสียงด้วยเลย แต่ไม่อยากจะแปลเอามาลงให้ทุกคนได้ทราบทั้งหมด   เพราะเกรงว่า ห้องบันทึกเสียงจะจุพวกเราทุกคนไม่พอ (ฮา)

             สรุปแล้วคือ  บันทึกเสียงเสร็จ เรียบร้อย อัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band  วางขายในวันที่ 11 ธันวาคม  1970   โดยโปรดิวเซอร์เพลงนี้ คือ John / Phil และแน่นอนที่ขาดเสียไม่ได้ คือ  Yoko Ono

          เพลง  Love ก็ถูกนำมา remix  เพื่อทำเป็น ซิงเกิ้ล  และมี B-side เป็นเพลง  Gimme some truth ( ซึ่งในปกเขียนชื่อเพลงนี้ว่า  Give me some truth)  และถูกปล่อยออกมาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1982  

..............................................

กลับมาเรื่องราวแห่งความรัก ของบุคคลอมตะ คนนี้กันสักเล็กน้อยดีกว่า
          ก่อนหน้าที่ John จะรักกับ Yoko  เขามีลูกแล้ว  แต่ John ลุ่มหลงคนรักใหม่คือ Yoko จนสามารถทิ้ง ภรรยา Cynthia กับ Julian ลูกชายคนโต หรือแม้กระทั่ง The Beatles เอาไว้เบื้องหลังได้โดยไม่ยี่หระ 
          ไม่ขอกล่าวถึง ที่มาที่ไปของความรักของ John และ Yoko  เพราะคาดเดาว่า ทุกคนน่าจะทราบรายละเอียดดีอยู่แล้ว  หากแต่จะย้ำให้ได้เห็นถึงอานุภาพของ “รัก”   ผ่านการที่ John ได้พบ และรักกับ Yoko Ono” หรือพูดง่ายๆว่า เพราะ รัก” นี่เองที่ทำให้ John สร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะเห็นได้ว่าในแต่ละเพลงที่ John ได้ถ่ายทอดลงในผลงานของเขา จะสื่อแสดงถึง รักที่เขามีต่อ Yoko และ รักที่เขามีต่อมวลมนุษยชาติ ผ่านการเรียกร้องเสรีภาพและต่อต้านสงคราม
            แม้ว่าความรักครั้งนี้ จะนำพามาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆมากมาย แต่สำหรับ John Lennon  ไม่ว่าอะไรจะเกิด  ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีหญิงคนรักอยู่ข้างกาย     ---   Yoko Ono  นั่นคือ “รัก”สุดท้ายของ John Lennon

 John Winston Ono Lennon  จากไปอย่างกะทันหันด้วยน้ำมือของ  Mark David Chapman ในตอนดึกของวันที่ 8 ธันวาคม 1980   และภาพของ John บนซองซิงเกิ้ล(Sleeve) ที่ออกวางขายในวันที่  15 พฤศจิกายน 1982  นั่นก็คือภาพถ่ายโดยตากล้องผู้มีชื่อเสียง  Annie  Leibovitz  ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 นั่นเอง


และ Mark David Chapman  ให้การว่า ทนเห็นศิลปินในดวงใจ ใช้ชีวิตเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไป    ที่ต้องฆ่า  เพราะ “รัก”

                                                                                 ด้วย “รัก”
                                                         23.15 น.  คืนวันพุธที่ 8 พฤษภาคม  2556
                                                                                                                                                                             
                                                                                ไผ่แก้ว

                     

Listen MOUZEE (pakdee) RADIO