ฤา คือ รัก
งานชิ้นแรกผ่านไปแล้ว งานชิ้นที่สอง ก็เข้าสู่กระบวนการเดิม คิดว่าจะเอาเพลงอะไรดีนะ ตัวเลือกเยอะเลย คราวนี้
แต่ใครจะเชื่อ ว่าเพลงที่จะนำมาเขียนถึงในครั้งนี้ จะเป็นเพลงที่ไม่เคยเป็นคำตอบ
ของคำถามที่ว่า เพลงอะไรที่ชอบ
..หรือจะเป็นเพราะว่า ชื่อของเพลงอื่นแซงเข้าไปในสมองก่อนแล้ว
สาเหตุที่
คืนนี้ จึงต้องมาฟังเพลงนี้
หาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงนี้ และ ดื่มด่ำอยู่กับเพลงนี้ ก็คงเป็นเพราะ เพื่อนรุ่นพี่ท่านนึง
กำลังมีอาการที่คาดเดาได้ว่า กำลังแบ่งปันนิยามแห่ง “รัก”
กับเพื่อนรุ่นพี่อีกท่านนึง (สรุปคือ ข้าพเจ้ายุ่งเรื่องคนอื่นนั่นเอง)
.....................
ตลอดระยะเวลา
หนึ่งชีวิตของแต่ละคน ย่อมเจอคำว่า “รัก” กันทั้งนั้น หลายคน มีรักเดียวตลอดชีพ
หลายคนรักตลอดชีพแบบไม่เคยหยุดกับใครสักคน
หลายคนไม่เคยแตะสัมผัสคำว่า “รัก” และหลายๆๆๆคน กำลังออกตามหาคำนิยามของ “รัก”
เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์ทั้งหลาย ที่พากันมาให้นิยามกับคำว่า
“รัก” เหล่าศิลปินต่าง ตีความคำว่า”รัก”ผ่านงานศิลปะแขนงของตน มีหลายคนถึงขนาดแยกวิเคราะห์กันเป็นตัวอักษรเลยทีเดียว แสดงว่าคำว่า
”รัก” มันช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร
รักของใคร ก็รักของคนนั้น หลายคนต่างพยายามหานิยามกลางของคำว่า “รัก”
แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคงต้องหากันอยู่เรื่อยๆไป
หรือแท้จริง “รัก” ไม่ได้ต้องการนิยามใดๆ
มีคนตอบแบบกำปั้นทุบดิน แต่ครบถ้วนที่สุดว่า รัก ก็คือ รัก (
เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรจากการให้นิยามแบบนี้เลย)
เมื่อ “รัก”
คือความรู้สึกอันเป็นนามธรรม แต่เราพยายามที่จะทำให้ “รัก” กลายเป็นรูปธรรม มันก็คงจะยากอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะนามธรรมอันเป็นความรู้สึกนั้น
มันช่างละเมียด เกินกว่าตัวอักษรใดจะมาบรรยายได้ครบถ้วน รวมทั้งความละเมียดนี้ ต่างเกิดขึ้นต่างวาระ
ต่างบุคคล ต่างสถานการณ์ ยิ่งทำให้การนิยามคำว่ารักนั้น ยิ่งยาก และยากยิ่ง
“รัก” มีหลายชนิด
หลายขนาด หลายลักษณะ แต่”รัก”
ที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ จะขอยกเอา “รัก” ในแบบฉบับของเพลงนี้
Love is real, real is love
Love is feeling, feeling love
Love is wanting to be loved
Love is touch, touch is love
Love is reaching, reaching love
Love is asking to be loved
Love is you
You and me
Love is knowing
We can be
Love is free, free is love
Love is living, living love
Love is needing to be loved
Love is feeling, feeling love
Love is wanting to be loved
Love is touch, touch is love
Love is reaching, reaching love
Love is asking to be loved
Love is you
You and me
Love is knowing
We can be
Love is free, free is love
Love is living, living love
Love is needing to be loved
(อันนี้ลอกมาแล้วก็เติมนิดหน่อย เพราะเขียนอะไร ยาวๆสวยๆไม่เป็น ...
จริงๆแทบไม่ต้องแปล ทุกคนก็เข้าใจอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวจะผิดคอนเซป )
รักนั้น คือความจริง ความจริงคือความรัก
รักนั้น คือความรู้สึก ความรู้สึกรัก
รักนั้น คือความปรารถนา ปรารถนาที่จะถูกรัก
รักนั้น คือความรู้สึก ความรู้สึกรัก
รักนั้น คือความปรารถนา ปรารถนาที่จะถูกรัก
รักนั้น คือสัมผัส สัมผัสนั้นคือรัก
รักนั้น คือการร้องขอ ร้องขอเพื่อให้ถูกรัก
รักนั้น คือเธอ
เธอกับฉัน
รักนั้น คือการที่ได้รู้
ว่าเรา จะคู่กัน
เธอกับฉัน
รักนั้น คือการที่ได้รู้
ว่าเรา จะคู่กัน
รักนั้น มีอิสระ
ความอิสระเสรีนั้นก็คือรัก
รักนั้น คือการใช้ชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยรัก
รักนั้น คือความต้องการ ต้องการที่จะถูกรัก
…………………….
รักนั้น คือการใช้ชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยรัก
รักนั้น คือความต้องการ ต้องการที่จะถูกรัก
…………………….
เพลง ”รัก” เพลงนี้ แต่งโดยคนร้อง และคนที่ร้องเป็นคนแต่ง (มุขเดิม) John Lennon หนึ่งใน4จตุรเทพเต่าทอง (สมญานามนี้กรุณาอย่าเลียนแบบ เพราะมันบัดสีสิ้นดี) เพลงนี้ออกสู่โสตประสาทของประชาชนในปี 1970 ในอัลบั้มที่ชื่อว่า John Lennon/Plastic Ono Band
แน่นอนอยู่แล้ว ว่าหลังจากนั้น ก็จะมีการนำไปทำซ้ำหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งในคราวนี้
จะไม่พูดถึงประเด็นนี้ อันเนื่องจากว่า จะทำให้อรรถรสของความรักเสียไป (จริงๆ สันหลังยาวกับการพิมพ์ดีดมากกว่า)
แรกเริ่มเดิมที เพลง Love เกิดจากการที่ John พยายามที่จะนิยามความหมายของคำว่า
“รัก” เขาแต่งโดยใช้กีตาร์ และบันทึกเพลงที่เขาแต่งไว้กับเครื่องอัดเสียงแบบเทป
ที่ Primary Therapy Institute ราวๆเดือนกรกฎาคม ปี 1970 หลังจากนั้น 3 เดือน ก็เข้าห้องอัด เพื่อเร่งทำ LP
Plastic Ono Band ซึ่งเพลง Love นี้ ได้รับการตกแต่งใหม่ เรียบเรียงใหม่โดยการใช้เปียโนเข้ามาเป็นเครื่องดนตรีพื้นหลัก
คู่กับกีตาร์ แทนที่เดิมจะใช้เฉพาะกีตาร์
การบันทึกเสียง มี Phil Spector เป็นมือเปียโน และแน่นอน Yoko Ono นั่งอยู่ในห้องควบคุมเสียงด้วย ในขณะที่ John เล่นกีตาร์และร้องไปด้วย
ในห้องบันทึกเสียง ซึ่งไม่เหมือนกับการบันทึกเสียงที่นิยม นั่นคือจะบันทึกเสียงเครื่องดนตรีไว้ก่อน
แล้วจึงมาบันทึกเสียงร้องภายหลัง ทั้งนี้เพราะ
John ต้องการให้ได้ความสดของเพลง
แต่ก็ต้องแลกกับการเล่นถึง 25 เทค กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นเพลงที่ผู้คนทั่วไปได้ฟังกัน เราฟังเพลงนี้เหมือนทุกอย่างง่ายไปหมด
ดูเหมือนธรรมดา ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก
นักดนตรีมืออาชีพไม่น่าจะต้องเล่นกันขนาดนั้น อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ขอบคุณข้อมูลจาก Patric
Cadogan ที่ได้เขียนบทความเอาไว้
และข้าพเจ้าได้ไปค้นเจอ จริงๆแล้วในบทความดังกล่าวจะมีรายละเอียดเล่าเหตุการณ์ในแต่ละเทค
เสมือนเราไปนั่งอยู่ในห้องบันทึกเสียงด้วยเลย แต่ไม่อยากจะแปลเอามาลงให้ทุกคนได้ทราบทั้งหมด เพราะเกรงว่า
ห้องบันทึกเสียงจะจุพวกเราทุกคนไม่พอ (ฮา)
สรุปแล้วคือ บันทึกเสียงเสร็จ
เรียบร้อย อัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band วางขายในวันที่ 11 ธันวาคม 1970 โดยโปรดิวเซอร์เพลงนี้ คือ John / Phil และแน่นอนที่ขาดเสียไม่ได้ คือ Yoko Ono
เพลง Love ก็ถูกนำมา
remix เพื่อทำเป็น
ซิงเกิ้ล และมี B-side เป็นเพลง Gimme some truth
( ซึ่งในปกเขียนชื่อเพลงนี้ว่า
Give me some truth) และถูกปล่อยออกมาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1982
..............................................
กลับมาเรื่องราวแห่งความรัก ของบุคคลอมตะ คนนี้กันสักเล็กน้อยดีกว่า
ก่อนหน้าที่ John จะรักกับ Yoko เขามีลูกแล้ว แต่ John ลุ่มหลงคนรักใหม่คือ Yoko จนสามารถทิ้ง
ภรรยา Cynthia กับ Julian ลูกชายคนโต
หรือแม้กระทั่ง The Beatles เอาไว้เบื้องหลังได้โดยไม่ยี่หระ
ไม่ขอกล่าวถึง ที่มาที่ไปของความรักของ John และ Yoko เพราะคาดเดาว่า
ทุกคนน่าจะทราบรายละเอียดดีอยู่แล้ว หากแต่จะย้ำให้ได้เห็นถึงอานุภาพของ
“รัก” ผ่านการที่ John ได้พบ และรักกับ Yoko Ono” หรือพูดง่ายๆว่า
เพราะ “รัก” นี่เองที่ทำให้ John
สร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด
จะเห็นได้ว่าในแต่ละเพลงที่ John ได้ถ่ายทอดลงในผลงานของเขา
จะสื่อแสดงถึง “รัก” ที่เขามีต่อ Yoko
และ “รัก” ที่เขามีต่อมวลมนุษยชาติ
ผ่านการเรียกร้องเสรีภาพและต่อต้านสงคราม
แม้ว่าความรักครั้งนี้ จะนำพามาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆมากมาย แต่สำหรับ John Lennon ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีหญิงคนรักอยู่ข้างกาย --- Yoko Ono นั่นคือ “รัก”สุดท้ายของ John Lennon
John Winston Ono
Lennon จากไปอย่างกะทันหันด้วยน้ำมือของ
Mark David Chapman ในตอนดึกของวันที่
8 ธันวาคม 1980 และภาพของ John บนซองซิงเกิ้ล(Sleeve) ที่ออกวางขายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1982
นั่นก็คือภาพถ่ายโดยตากล้องผู้มีชื่อเสียง
Annie Leibovitz
ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 นั่นเอง
และ Mark David Chapman ให้การว่า ทนเห็นศิลปินในดวงใจ ใช้ชีวิตเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไป ที่ต้องฆ่า
เพราะ “รัก”
ด้วย “รัก”
23.15 น. คืนวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2556
ไผ่แก้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น